แนะนำโดย ชลนภา อนุกูล
ประวัติศาสตร์ยุโรปที่ข้าพเจ้ารู้จัก เห็นจะมีแต่เรื่องปฏิวัติฝรั่งเศส ที่เคยอ่านจากหนังสือการ์ตูนตอนเด็ก เมื่อไปเที่ยวที่ไหนก็อ่านเตรียมแต่ว่ามีสถานที่น่าสนใจที่ไหนบ้าง ไปอยู่ที่ไหนก็อ่านประวัติเมืองอย่างคร่าว พออยู่นานไปก็ลืม สหายผู้หนึ่งยกหนังสือประวัติศาสตร์ยุโรปภาษาไทยให้อ่านสองสามเล่ม เก็บไว้อ่านขณะเดินทางไปไหนมาไหน แล้วก็มีเหตุให้หลงลืมทิ้งไว้บ้านคนอื่น พอถามนักศึกษาด้านประวัติศาสตร์ว่า ควรจะหาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เยอรมันเล่มไหนดี ก็ถูกย้อนถามกลับมาว่าประวัติศาสตร์ยุคไหนล่ะ ข้าพเจ้าก็นิ่งจังงัง ประวัติศาสตร์เยอรมันมีกี่ยุคกันล่ะ แล้วปรกติเขาเรียนประวัติศาสตร์เยอรมันกันอย่างไร
ความรู้เรื่องนี้ของข้าพเจ้าเท่าหางอึ่ง อยากจับอยากต้องมันบ้าง ขนาดไม่ได้อ้อนวอนให้ใครเล่าให้ฟัง จะขยันไปหาอ่านเอง แต่เริ่มอ่านแบบไหน ดูเหมือนจะหาคนแนะนำยากเหลือเกิน เรื่องประวัติศาสตร์เยอรมันก็เลยทิ้งค้างไว้หลายปี จนกระทั่งเผอิญไปเจอร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่มุมหนึ่งของเมืองโดยบังเอิญ ร้านนี้เงียบสงบเป็นพิเศษ ผู้คนไม่พลุกพล่าน แต่มีหนังสืออย่างที่คัดมาสำหรับพวกหนอนหนังสือโดยเฉพาะ กลางร้านมีโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งสำหรับให้นั่งอ่านและดื่มกาแฟ ข้าพเจ้าเดินอ่านแค่ชื่อหนังสือก็ละลานใจ มาสะดุดตาหนังสือปกอ่อนเล่มหนาเตอะวางอยู่บนกองหนังสือหนึ่ง Deutsche Geschichte des 19. und 20. Jahrhunderts พลิกดูสารบาญ อ่านบทนำแล้วก็ประทับใจในทันที
„Ich war jung, als ich meine „Deutsche Geschichte“ schrieb, noch nicht einmal fünfzig. Erlebt, mit mehr Leid als Freude, hatte ich deutsche Geschichte, seit ich, sagen wir, vierzehn Jahre alt war, wobei mir als Ziel und Wunsch immer ein echter Friede vorschwebte, und das konnte nur einer zwischen Deutschland und Frankreich sein. Leider hat das sehr lange gebraucht; wenn nicht, was wäre uns alles erspart geblieben!“
“ข้าพเจ้ายังละอ่อนนัก ตอนที่เขียน “ประวัติศาสตร์เยอรมัน” อายุยังไม่ถึงห้าสิบปีด้วยซ้ำ ถ้าได้เริ่มเผชิญกับความทุกข์โศกมากกว่าความรื่นเริงเบิกบานเสียตั้งแต่ตอนอายุสักสิบสี่ปี ก็คงจะเขียนประวัติศาสตร์เยอรมันได้แล้วใจอย่างที่มุ่งหวังและหมายมั่น แล้วก็คงเป็นแค่เรื่องระหว่างเยอรมันและฝรั่งเศสเท่านั้น น่าเสียดายที่ใช้เวลาเนิ่นนานมาก ทำให้ต้องคอยกันนาน”
นักเขียนผู้นี้ Golo Mann ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่เขาต้องเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว ท่วงทำนองการเขียนนี้ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ทั่วไปจะทำได้ บทนำยังขึ้นต้นได้ดีเพียงนี้ หนังสือเล่มนี้ย่อมคุ้มค่ากับการอ่านแน่นอน
ศาสตราจารย์ผู้มีอายุยืนถึง ๙๕ ปีผู้นี้ กล่าวไม่ผิดหรอก ที่ว่าเขาเขียนหนังสือประวัติศาสตร์เยอรมันเมื่อตอนที่อายุยังน้อย คือ ๕๐ ปี นักประวัติศาสตร์ที่ใช้ภาษาได้งดงามเช่นนี้ย่อมเป็นคนพิเศษยิ่ง ดังนั้น เมื่อเริ่มอ่านไปได้สักพัก ข้าพเจ้าก็ค้นอ่านประวัติโกโล มันน์ จากเว็บไซต์ แล้วก็ถึงบางอ้อว่า เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลมันน์ ตระกูลนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมัน ซึ่งประกอบด้วย ไฮน์ริค มันน์ โธมัส มันน์ เคลาส์ มันน์ ฯ จึงไม่น่าแปลกใจถึงฝีไม้ลายมือในการเขียนเหนือนักประวัติศาสตร์ทั่วไป
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าประวัติศาสตร์เยอรมันนับตั้งแต่ปีไหน แต่ปลอบใจตัวเองว่าถ้าพบเล่มที่อ่านแล้วถูกใจ ถึงจะอ่านย้อนไปได้แค่สองร้อยปี ก็คงพอกล้อมแกล้มไปตามหาเล่มอื่นอ่านต่อก็ได้ ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองไม่รู้อยู่อีกต่อไป ช่วงนั้นใกล้หยุดคริสต์มาส ให้กำลังใจตัวเองว่าน่าจะหาเวลาอ่านช่วงหยุดสองสัปดาห์ได้ แต่หนังสือหนาร่วมพันกว่าหน้าเล่มนี้ ก็ไม่อาจจะอ่านให้จบในรวดเดียวได้ เพราะนิสัยขี้เบื่อและไม่เคยชินกับการอ่านหนังสือเล่มเดียวของตนเอง กว่าจะอ่านให้จบบทสุดท้ายก็ใช้เวลาร่วมปี แต่ก็ทำให้อ่านนิยายเยอรมันหลายเล่มได้อย่างซาบซึ้งมากขึ้น เพราะวรรณกรรมเยอรมันส่วนใหญ่ ก็อิงอยู่กับกรอบทางประวัติศาสตร์อย่างแนบแน่น และแม้แต่วิวัฒนาการทางความคิดด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และปรัชญา ในเยอรมันหรือยุโรปเอง ก็จำต้องมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์รองพื้นอยู่บ้าง จึงจะมองเห็นภาพโดยรวมและดื่มด่ำเข้าใจมากกว่าเดิม
แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าสงกาว่า เหตุใดเรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับเยอรมันค่อนข้างน้อยเหลือเกิน ทั้งที่จำนวนนักศึกษาก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี ใคร่ครวญไปมาก็คาดว่า ส่วนใหญ่มาศึกษาทางด้านวิศวกรรม และนักศึกษาด้านวิศวกรรมส่วนใหญ่ ก็คงไม่มีความสนใจอ่านหนังสือด้านประวัติศาสตร์ หรือวรรณกรรม อยู่แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าใจแล้วว่า เหตุใดประเทศไทยจึงไม่อาจมีนักอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างซีเมนส์ อย่างครุปปส์ อย่างเบนซ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้วิสัยทัศน์กว้างขวางยาวไกล คนยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนแต่เคยเป็นคนเล็กมาก่อน แต่เป็นผู้ใฝ่รู้และรอบรู้ หากวิศวกรไม่อ่านหนังสือเอาเสียเลย จะเนรมิตเทคโนโลยีที่ประกอบด้วยความงามและความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร
โกโล มันน์ เขียนเล่าประวัติศาสตร์เรียงกันเป็นเส้นตรง แต่ด้วยลีลาการเขียนที่มีชั้นเชิงทำให้ไม่น่าเบื่อหน่ายเลย เขาแบ่งย่อยเนื้อหาออกเป็น ๑๒ บท โดยบทแรกให้ข้อมูลพื้นฐานตั้งแต่ประวัติศาสตร์ยุคชนเผ่า ผ่านยุคอาณาจักรโรมัน มาจนถึงยุคกลาง และยุคเรอเนสซองส์ การปฏิรูปศาสนาของลูเธอร์ สงครามสามสิบปี กระทั่งถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส บทถัดมาเขาค่อยดำเนินเหตุการณ์ตั้งแต่ผลกระทบของการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ มาจนถึงการปฏิวัติเดือนมีนาคมที่ฟรังค์เฟริ์ต ค.ศ. ๑๘๔๘ ยุคที่เยอรมันถูกปกครองโดยราชวงค์ฮับส์บวร์ก และปรัสเซีย ภายใต้การนำของบิสมาร์ก พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์ม และฮิตเลอร์ ในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง และจบลงด้วยการแบ่งประเทศเยอรมันออกเป็นสองส่วน
แม้เขาจะเขียนเล่าเหตุการณ์ไล่เรียงไปตามปีค.ศ. ต่าง ๆ แต่ก็ให้ภาพแนวราบของแต่ละยุคสมัยได้อย่างรอบด้านแจ่มชัด เขาเล่าเหตุการณ์ค่อนข้างละเอียด พร้อมกับให้ภาพบุคคลที่มีบทบาทในแต่ละยุค ชนชั้นผู้นำทั้งฝ่ายการเมือง ปัญญาชน เราจะพบกับเฮเกล ไฮน์ริค ไฮน์ คาร์ล มาร์กซ์ ลาซาล บิสมาร์ก ฟรีดดริค นิตเช อเดเนาเออร์ เป็นต้น เป็นดังใบหน้าแห่งประวัติศาสตร์ระหว่างการดำเนินเรื่องไปพร้อม ๆ กัน บทที่ ๑๑ ซึ่งบรรยายถึงรัฐนาซีนั้น โกโล มันน์ จงใจที่จะเอ่ยนามของตัวละครสำคัญในประวัติศาสตร์แต่เพียงชื่อย่อ โดยเรียกว่า ฮ. ตลอดทั้งบท ตัวเขาเองก็คงรู้สึกดังที่คอนราด อเดเนาเออร์รู้สึกว่า ช่วงสงครามนั้นเขารู้สึกรังเกียจประเทศเยอรมันของตัวเองยิ่งนัก แต่ครั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของเยอรมันตะวันตก ก็จำต้องสร้างความรู้สึกเคารพประชาชนเยอรมันของตนขึ้นมาใหม่
ขณะที่เขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จสิ้นในปีค.ศ. ๑๙๕๘ สิบสามปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเยอรมันถูกแบ่งเป็นสองส่วน ผู้คนยังคงบอบช้ำจากสงคราม แต่ก็สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โกโล มันน์ มุ่งหวังว่าการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์จะทำให้มนุษย์หลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ เรายังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขาในการถูกแบ่งประเทศ และมองเห็นความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างสัมพันธภาพระหว่างเยอรมันและโลกขึ้นมาใหม่ เพื่อก่อให้เกิดสันติภาพที่แท้
ตัวเขาเองยืนยันว่า ประวัติศาสตร์เยอรมันนั้นน่าพิศมัยในข้อที่ว่า ชนชาติเยอรมันซึ่งเคยเต็มไปด้วยนักคิด นักปรัชญา และกวี ก็กลับกลายมาเป็นชนชาติที่ใฝ่ใจการเมือง มุ่งมั่นทางวัตถุ และโหดร้ายได้ และก็กลับมาเป็นนักลงทุน นักอุตสาหกรรม และเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลกได้อีกครั้ง ดังที่ฟรีดดริค นิตเช นักปรัชญาเยอรมันเคยกล่าวไว้ว่า ชนชาติเยอรมันยังคงเป็นชนชาติที่ยังมาซึ่งความประหลาดใจต่อชาวโลกได้อยู่เสมอ
เกี่ยวกับผู้เขียน
โกโล มันน์ (ค.ศ. ๑๙๐๙ – ๑๙๙๔) ภายหลังจบการศึกษาจากโรงเรียน ก็เข้ารับการศึกษาด้านประวัติศาสตร์และปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก และทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกกับคาร์ล ยัสเปอร์ นักปรัชญาแห่งยุค ในปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เขาได้ลี้ภัยทางการเมืองไปที่ฝรั่งเศสพร้อมกับไฮน์ริค มันน์ ผู้เป็นลุง และไปเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยที่ซังค์ คลาวด์ และร็อง ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๓๗ – ๑๙๔๐ ก็เข้าร่วมทำงานเป็นกองบรรณาธิการวารสาร “ปริมาณและคุณค่า” ในซูริค ที่โธมัส มันน์ บิดาของเขา เป็นบรรณาธิการ จากนั้นก็หลบหนีกองทัพเยอรมันไปที่สหรัฐอเมริกา และได้สอนประวัติศาสตร์ที่วิทยาลัยโอลิเวอร์ และวิทยาลัยชายแคลร์มองต์ ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๕๘ – ๑๙๖๐ เป็นศาสตราจารย์พิเศษที่มึนสเตอร์ และช่วงปี ค.ศ. ๑๙๖๐ – ๑๙๖๔ เป็นอาจารย์ประจำด้านรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชตุตการ์ต
งานเขียนของเขาหลายชิ้นได้รับรางวัลสำคัญมากมาย เป็นต้นว่า รางวัลบึคเนอร์ ปี ค.ศ. ๑๙๖๘ รางวัลก็อตฟรีด เคลเลอร์ ปี ค.ศ. ๑๙๖๙ รางวัลเกอเธ่ ประจำเมืองฟรังค์เฟิร์ต อัม มายน์ ปี ค.ศ. ๑๙๘๖ เป็นต้น โกโล มันน์ ยังเป็นหนึ่งในบรรณาธิการผู้จัดทำหนังสือชุดประวัติศาสตร์ ของสำนักพิมพ์โพรพือเลน
งานเขียนสำคัญ
- ฟรีดดริค แห่ง เกนซ์ (ค.ศ. ๑๙๔๗)
- จิตวิญญานอเมริกัน (ค.ศ. ๑๙๕๔ / ๑๙๖๑)
- เรื่องเล่าและประวัติศาสตร์ (ค.ศ. ๑๙๖๑)
- วัลเล็นชไตน์ (ค.ศ. ๑๙๗๑)
- ความพยายามสิบสองครั้ง (ค.ศ. ๑๙๗๓)
- กาลเวลาและบุคคล (ค.ศ. ๑๙๗๙)
- ความคิดและความทรงจำ วัยเยาว์ในเยอรมัน (ค.ศ. ๑๙๘๖)
- เราเป็นอย่างที่เราอ่าน (ค.ศ. ๑๙๘๙)
- บทส่งท้าย ความคิดและความทรงจำ การสอนในฝรั่งเศส (ค.ศ. ๑๙๙๘)